ผมตื่นมานั่งดูภาพถ่ายเก่าๆเมื่อคราวกลับมาจากเวียตนามครับ ครั้งนั้นเพราะทางมูลนิธิสโมสมรมิตรภาพวัฒนธรรมสากลร่วมกับสภาวัฒนธรรมนครพนม จัดโครงการเสวนาวัฒนธรรมและวรรณกรรม เพื่อนบ้านอุษาคเนย์ ชวนผมไปเยือนในแผ่นดินเวียดนามกลาง ไปเที่ยวชม 3 มรดกโลกคือ ถ้ำฟองญา ,กรุงเก่าเว้ และเมืองท่าโบราณฮอยอัน 7 วัน 5 คืน ต้องบอกว่าเป็นการเดินทางที่ได้รับประสบการณ์ดีๆมากมาย เพราะผมเชื่อในคำกล่าวของ อาปุ๊ 'รงค์วงษ์สวรรค์ ที่บอกว่า "การเดินทางคือสายตาของนักเขียน" บนเส้นทางรถยนตร์ทางหลวงอินโดจีนขาไปเส้นที่12 จากเมืองนครพนมผ่ามสะพานมิตรภาพไทย-ลาวแห่งที่3 ผ่านประเทศลาวเข้าด่านนาจอกของเวียตนามและเส้นทางกลับบนถนนทางหลวงอินโดจีนหมายเลข9ผ่านด่านลาวบาว ย้อนกลับเข้าเมืองบาวที่แขวงสะวันเขต มาข้ามสะพานไทย-ลาว แห่งที่2 ตรงจังหวัดมุกดาหาร เป็นการเดินทางที่สมบุกสมบันพอสมควร นั่งรถทัวร์ไต่ขอบเหวแล่นสวนทางเบียดไหล่เขาไปกับขบวนรถบรรทุกขนาดยักษ์ที่ขึ้นเขาลงเขาอย่างช่ำชอง ผมถามลุงหว่อ ไกด์นำทางอดีตนักรบเวียตกง ที่ผ่านสงครามมา9ปีเต็มๆลุงบอกว่า เขาขับกันมานานแล้วและที่สำคัญเส้นทางนี้ถือว่าพัฒนามาได้เยอะมากแล้วราดยางอย่างดี ผิดกับสมัยก่อน ที่เส้นทางทั้งสองสายนี้คือทางลูกรังเต็มไปด้วยหลุมบ่อ เพราะเส้นทางยุทธศาสตร์เต็มไปด้วยหลุมระเบิด โดยเฉพาะถนนสายหมายเลข12 ที่ตั้งต้นจากแขวงคำม่วน ไต่ผ่านพาดเทือกเขาภูหลวงของลาว วึ่งเป็นเทือกเขาที่เป็นเส้นแบ่งพรมแดนระหว่างลาวกับเวียตนาม ในสมัยสงครามนี้คือเป้าหมายของการทิ้งระเบิดของเครื่องบินรบอเมริกัน เพราะถนนเส้นนี้คือเส้นทางที่ไปเชื่อมกับถนนโฮจิมินท์ที่ทางเวียตนามเหนือในเป็นเส้นทางเดินทัพเข้าสู่เวียตนามใต้ตรงนี้บริเวณเมืองกว่างบิ๋ญที่ผมไปเยือนคือ เมืองยุทธศาสตร์ของเวียตนามเหนือ เพราะอยู่ตรงจุดแบ่งแยกเส้นขนานที่17 พอดิบพอดีและที่เมืองนี้คือสมรภูรบที่ดุเดือดเลือดพล่านมากที่สุดในเวียตนามอีกเมืองหนึ่ง การเดินทางร่อนแรมข้ามเทือกเขาและหุบเหว ทำให้ผมนึกถึงเรื่องราวในผลงานเขียนของ สยุมภู ทศพล ที่ว่าด้วยการรบในเวียตนามขึ้นมาจับใจ แต่อาจจะคนละความรู้สึกกันกับในวันวาน วันนั้นผมอ่านนวนิยายสงครามของอดีตนับรบรับจ้างด้วยความสะใจ สนุกไปในเรื่องราวการสู้รบการเล่าเรื่องของนักฆ่า ไม่มีอะไรซับซ้อนในความคิดมากกว่า ความมันส์ในอารมณ์ แต่จากการที่ผมไปใช้ชีวิตอยู่ในดินแดนแถบนั้นที่วันนี้ยังเต็มไปด้วยสุสาน หลุมฝังศพ เป็นระยะ..ระยะ..ตลอดแนวถนนสองข้างทาง โดยเฉพาะช่วงจากเมืองเว้ไปยังเมืองดานัง ดารดาษไปด้วยหลุมศพและป้ายวิญญาน แปลกแต่จริงคือ...ผมรู้สึกวังเวงและเศร้าใจอย่างบอกไม่ถูก...สงครามไม่ใช่เรื่องของความสุนกความสาสะใจ แต่มันเป็นเรื่องเศร้า...เป็นบาดแผลที่กาลเวลาไม่อาจลบรอย!!
เอก อัคคี akeakkee@gmail.com
Post by :
Posted
29/08/2015 Time
02:38 pm
1595
0
|